Lucerne

เมืองลูเซิร์นเมืองหนึ่งที่นักท่องเที่ยวที่เข้ามาสวิสทุกคนจะต้องเข้ามาแวะชมเมืองเก่าแห่งนี้ที่ได้คงสภาพความเป็นเมืองเก่าแต่ในอดีตไว้เป็นอย่างดี แทบจะกล่าวได้ว่าเมื่อมาสวิสแล้วมาไม่ถึงลูเซิร์นเหมือนมาไม่ถึงประเทศสวิสนี่ทีเดียว เป็นประตูสู่สวิตเซอร์แลนด์ตอนกลาง ที่ตั้งของแม่น้ำลูเซิร์นและล้อมรอบไปด้วยภูเขาที่มีทิวทัศน์ด้านบนที่ตระการตา เป็นเมืองจุดศูนย์กลางแห่งเขาชื่อดังของสวิสหลายๆ เขา ไม่ว่าจะเป็น Rigi Pilatus Stanserhorn และ Titlis

ลูเซิร์นเป็นเมืองหลวงของมลรัฐลูเซิร์น ประกอบไปด้วยเมืองย่อยๆ อีก 17 ตำบล ประวัติศาสตร์และการพัฒนาของมลรัฐ ลูเซิร์นได้รับอิทธิพลอย่างมากจากสภาพภูมิประเทศที่อยู่ตอนกลาง ของสวิตเซอร์แลนด์ เนื่องจากเป็นประตูเมืองสู่สวิตเซอร์แลนด์ตอนกลาง เมืองที่ติดทะเลสาบ ล้อมรอบด้วยภูเขาตระการตา มีแหล่งท่องเที่ยวในกลางเมืองที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวคือ สะพานไม้ ทำให้ลูเซิร์นเป็นเมืองที่มีความสำคัญสำหรับนักท่องเที่ยวที่จะต้องมาแวะเยี่ยมเยือนสถานที่แห่งนี้ทุกคน

ประวัติศาสตร์ของลูเซิร์นเริ่มภายหลังการล่มสลายของอาณาจักรโรมันในคริสต์ศตวรรษที่ 6 จากการรวมตัวกันของชาว Germanic Alemannic ดินแดนแห่งนี้แต่ก่อนเป็นที่รู้จักในนาม Luciaria ได้มีการก่อตั้งอารามนิกายเบเนดิก โดย เซนต์ Leodegar ต่อมาได้ตกเป็นของ Murbach Abbey และได้รับอิสรภาพ ในปี ค.ศ.1178 ปี ถือว่าว่าเป็นปีที่เมืองลูเซิร์นกำเนิดขึ้นมาอย่างแท้จริง เมืองแห่งนี้ได้กลายมาเป็นเมืองประตูแห่งเส้นทางการค้าแห่ง Gotthard ทำให้มีการเจริญเติบโตขึ้นของเมืองอย่างรวดเร็ว กระทั่งในปี ค.ศ.1290 Rudolph I แห่ง Hansburg ได้ตั้งตัวเองขึ้นมาเป็นกษัตริย์เพื่อปกครองดินแดนในเขตนี้ ทำให้ลูเซิร์นจำเป็นต้องหาพันธมิตรเพื่อเข้ามาปลดพันธนาการจากกษัตริย์ โดยการรวมมลรัฐ Uri Schwyz และ Unterwalden เป็นสหพันธ์สวิสในวันที่ 7 พฤศจิกายน ค.ศ.1332 จากนั้น Zürich Zug และ Bern ก็เข้ามาร่วมเป็นพันธมิตร การรวมตัวครั้งนี้เพื่อปลดแอกจากการปกครองของกษัตริย์ Hansburg และได้ชัยชนะมาในการรบ Sempach ในปี ค.ศ.1386 ชัยชนะครั้งนี้ส่งผลให้อาณาเขตของลูเซิร์นขยายออกไปจนเท่าทุกวันนี้ แม้ภายหลังจากสวิตเซอร์แลนด์มีการนำระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยเข้ามา แต่พลเมืองก็ยังคงยืดอาชีพเกษตรเป็นตัวขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจหลักในมลรัฐแห่งนี้

เมื่อเราเดินทางมา Lucerne โดยรถไฟ ออกมาจะพบกับประตูสถานีรถไฟเก่าที่ตั้งไว้เป็นอนุสรณ์ หลังการเกิดไฟไหม้เมืองครั้งใหญ่ในปี 1971 สถานีรถไฟทั้งหมดต้องถูกสร้างใหม่ และเมื่อเดินผ่านประตูตรงไปก็จะเจอกับท่าเรือที่สามารถจะโดยสารไปยัง ท่าเรือ Weggis หรือ Vitznau เพื่อไปขึ้นไปยังเขา Rigi หรือ ท่าเรือ Alpnachstad เพื่อไปขึ้นรถไฟไต่เขาที่ชันที่สุดในสวิตเซอร์แลนด์ (ปี 2017 ได้มีการเปิดทางรถไฟที่ชันกว่าที่นี่ ตั้งอยู่ที่เมือง Stoos) คือ เขา Pilatus อีกด้วย

และไฮไลต์ของเมืองคือ สะพาน Chapel Bridge (Kappelbrücke) ซึ่งถือว่าเป็นสะพานไม้ที่เก่าแก่ที่สุดของยุโรป สร้างขึ้นใน คศ.14 ในอดีตเคยถูกใช้เป็นป้อมปราการของเมือง เป็นคุกและที่ทรมานนักโทษ และปัจจุบันนี้ใช้เป็นสำนักงานใหญ่ของสมาคมปืนใหญ่ลูเซิร์น แทบจะกลาวได้ว่าสะพานแห่งนี้เป็นสัญลักษณ์ของเมืองก็ว่าได้ ชื่อได้มาจาก โบสถ์เซนต์ปีเตอร์ (St.Peter Chapel) ซึ่งตั้งอยู่ไม่ห่างจากสะพานแห่งนี้มากนัก เมื่อท่านเดินบนสะพาน ด้านบนจะมองเห็นภาพซึ่งเล่าเรื่องราวประวัติความเป็นมาของเมืองตั้งแต่ คศ.17 วาดโดย Hans Heinrich Wägmann แต่เป็นทีน่าเสียดายที่ภาพเดิมก็ได้ถูกไฟไหม้ไปพร้อมกันสะพานจากเหตุการณ์ไฟไหม้ปี 1993 และทางการก็ได้ใช้ความพยายามเพื่อที่จะบูรณะสะพานแห่งนี้ให้กลับมาอยู่ในสภาพเดิมให้มากที่สุด ท่านยังสามารถที่จะเห็นร่องรอยของไฟไหม้ที่หลงเหลือบนสะพานอย่างชัดเจน

The Water Tower (Wasserturm) ถือได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญของลูเซิร์นก็ว่าได้ สร้างในช่วงครึ่งคริสต์ศตวรรษที่ 14 และได้ก่อสร้างการสะพานไม้ รังนกกระสาเก่า หอคอยนี้สร้างจากความชอบของ Kaiser Friedrich II ซึ่งเป็นแบบแปดเปลี่ยม มีความสูง 34.5 เมตร แต่มีความหนาถึง 38 เมตร หอคอนแห่งนี้ได้มีการเปลี่ยนจุดประสงค์การใช้งานหลายต่อหลายครั้ง ครั้งแรกสร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นแนวป้องกันและหอสังเกตุการณ์ ต่อมาใช้เป็นห้องเก็บสมบัติ ด้วยความที่ตัวหอคอยมีความกว้างถึง 4-5 เมตร ด้านล่างของหอคอยได้ถูกใช้เป็นคุก โดยการตรึงนักโทษไว้กับสลักและผ่านเข้าไปในช่องด้านล่าง ต่อมาก็ได้นำมาใช้เป็นห้องสำหรับทรมาณนักโทษในช่วงกลาง ในปัจจุบันนี้ ห้องตรงกลางของหอคอยได้ถูกใช้เป็นสำนักงานใหญ่ของสมาคมกองทหารปืนใหญ่แห่งลูเซิร์น

Jesuit Church เป็นโบสถ์สวิสขนาดใหญ่ที่สร้างในสไตล์บารอค สร้างขึ้นปี 1666 และ 1677 ด้านในทำออกมาได้วิจิตรสวยงามมาก

 

วิวรอบๆ เมือง ถ่ายตรงบริเวณสะพานถนนด้านหน้าและด้านหลังสะพานไม้

และด้านล่างเป็นภาพที่ถ่ายบนป้อมคูเมืองที่อยู่ด้านหลังสะพานจะเห็นวิวเมืองและทะเลสาบสวยมากเลยจุดนี้

ก่อนที่จะถึงรูปปั้นสิงโตจะพบบ้านเก่าสไตล์สวิส ที่นี่มีอาหารสวิสจำหน่าย หากใครอยากลองทานก็แนะนำนะคะ

และที่จะขาดไปอีกที่ไม่ได้คือ อนุสาวรีย์สิงโต (Dying Lion) เป็นอนุสรณ์หิน รูปสิงโตนอนหมอบ ที่มีความหมายถึงทหารสวิสผู้กล้าที่สูญเสียชีวิตไปในช่วงการปฏิวัติฝรั่งเศส ในปี 1792 ขณะที่เข้าโจมตีพระราชวัง Tuileries ที่กรุงปารีส ในปี 2017 ถือว่าเป็นการครบรอบ 225 ปี ก็ได้มีการจัดป้ายไม้แสดงเหตุการณ์ในคร้งนั้น

ที่นี่ในทุกปีช่วงเดือน กุมภาพันธ์ จะมีการจัดเทศกาลคาร์นิวัลที่ถือว่าเป็นต้นตำรับและมีสีสันครึกครื้นสนุกสนาน ถือว่าเป็นเมืองหนึ่งที่นินแนะนำให้มาชมทีเดียว ซึ่งในแต่ละปีจะใช้วันที่ยึดถือตามปฏิทินคริสต์โบราณ ดังนั้นวันที่จัดงานจะเปลี่ยนแปลงไปได้ แต่จะเป็นช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ท่านสามารถหาข้อมูลได้จากเวปไซต์ ซึ่งเทศกาลคาร์นิวัลจะจัดขึ้นก่อนวันถือศิลอด ก่อนงานวันเทศกาลอีสเตอร์

 

การเดินทางมายังลูเซิร์น สามารถเดินทางอย่างสะดวกสบายด้วยรถไฟจากเมืองสำคัญๆ ได้ทั้งจาก Zurich ฺ Bern หรือ Interlaken ถึง Lucerne ภายในเวลา 1ชั่วโมงเท่านั้นเอง

 

ท่านสามารถที่จะส่งรายละเอียดระยะเวลาและโปรแกรมคร่าวๆ ของท่านให้เรา เพื่อที่เราสามารถที่จะเสนอราคาที่ดีที่สุดให้กับท่าน